Close

AAS Auto Service Co., Ltd.

Porsche | Bentley | Autoglym | Ulgo | Fenix

Search
Close this search box.

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เผยโฉม New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์เจเนอเรชันใหม่ที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์

(ครูว์ 25 มิถุนายน 2567) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เผยโฉม New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 หลังจาก 21 ปีแห่งการถือกำเนิดอัครยนตรกรรมตระกูล Continental GT พร้อมกำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานสมรรถนะระดับซุปเปอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับงานฝีมือ และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับ


สำหรับการเปิดรับคำสั่งจอง New Continental GT Speed เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบขอเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น New Continental GT Speed ดังนี้:

• รุ่น New Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท
• รุ่น New Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 29.5 ล้านบาท

ผู้ครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์จาก เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด รับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี

การออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมดมาพร้อมกับรายละเอียดที่ร่วมสมัยตามดีเอ็นเอการออกแบบใหม่ของรุ่น Bentley Bacalar และ Bentley Batur สมรรถนะที่โดดเด่นมาจากขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ มอบพละกำลังกว่า 782 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 190 แรงม้า ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ใน 3.2 วินาที โดยมีพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนกว่า 81 กิโลเมตร ระยะทางรวมกว่า 859 กิโลเมตร ตอกย้ำความเป็นซุปเปอร์คาร์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ประสิทธิภาพแห่งขุมพลังเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับระบบแชสซีใหม่ด้วยถุงลมคู่ใหม่ที่จับคู่กับแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วย Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์) เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง พร้อมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ที่น่าทึ่งและความสบายในการขับขี่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอันเป็นผลลัพธ์มาจากการถ่ายเทน้ำหนักของรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 49:51 ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์

ชุดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมอบความประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้นเพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร และการเชื่อมต่อระบบภายในรถยนต์

การออกแบบภายนอกใหม่ถือเป็นการปฏิวัติการออกแบบอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ในอนาคตด้วยผลิกโฉมการออกแบบ Continental GT ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ และถือเป็นอัครยนตรกรรมรุ่นเรือธงรุ่นแรกที่มีไฟหน้าแบบเดี่ยวนับตั้งแต่ปี 2493

มากไปกว่านั้น การออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยวัสดุ คุณภาพ และงานฝีมือชั้นสูงยังคงมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีเบาะนั่งเพื่อสุขภาพ ระบบฟอกอากาศแบบใหม่ พื้นผิวหนังขึ้นรูปแบบ 3 มิติ การควิลท์แบบร่วมสมัย และการตกแต่งทางเทคนิค เช่น โครเมียมเฉดสีใหม่มาเติมเต็มความเป็นที่สุดให้กับอัครยนตรกรรมรุ่นนี้

ระบบไฟฟ้าขนาด 400 โวลต์ใหม่และเทคโนโลยีขุมพลังที่ล้ำสมัยที่สุดที่ในปัจจุบันมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำที่สุดเพียง 29 กรัม ต่อ กิโลเมตร พร้อมพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้ากว่า 81 กิโลเมตร (WLTP)

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเบนท์ลีย์ที่อัครยนตรกรรมแบบคูเป้ รุ่น Continental GT และรุ่น Continental GTC แบบเปิดประทุนจะเปิดตัวพร้อมกันเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกครอบครองอัครยนตรกรรมที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเองให้ได้มากที่สุด

New Continental GT และ New Continental GTC จะถูกประกอบขึ้นด้วยช่างฝีมือทั้งหมด ณ Bentley’s Dream Factory เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มต้นสายการผลิตและการส่งมอบภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้


ขุมพลัง The Ultra Performance Hybrid
สำหรับ Continental GT Speed โฉมใหม่ มาพร้อมกับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ที่ได้รับการพัฒนา โดยขุมพลังดังกล่าวผสานเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรใหม่ที่สามารถผลิตพละกำลังกว่า 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 190 แรงม้า มอบพละกำลังสูงสุด 782 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 335 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง

แรงบิดได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับ Continental GT Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่น W12 จาก 900 นิวตันเมตร เป็น 1,000 นิวตันเมตร พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 19% จาก 659 แรงม้า เป็น 782 แรงม้า ซึ่งทำให้ Continental GT Speed ใหม่เป็นอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเหนือกว่ารุ่น Supersports รุ่นที่ 2 และอัครยนตรกรรมออกแบบพิเศษรุ่น Batur

สำหรับพละกำลังจะถูกส่งผ่านระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ 8 สปีดและเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) ไปยังล้อทั้ง 4 เพื่อการจ่ายกำลังที่ยอดเยี่ยมและการยึดเกาะถนนที่มั่นคงที่สุดในทุกสภาพถนน

ระบบจะควบคุมการไหลของพลังงานตามโหมดที่เลือก สำหรับโหมดไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มพลังงานไฟฟ้า การเบรกแบบจ่ายพลังงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดสำหรับรุ่น Continental GT Speed ใหม่ คือ โหมดชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อและชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน

ขุมพลังใหม่มอบสมรรถนะขั้นสูงสุด ทำให้ Continental GT รุ่นล่าสุดแตกต่างจากยนตรกรรมสปอร์ตหรูรุ่นอื่นๆ ด้วยแรงม้าและแรงบิดที่มากขึ้น พร้อมประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอัตราการลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสิบของเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ในทางกลับกัน เครื่องยนต์แบบไฮบริดสมรรถนะสูงจะมอบความสามารถในการขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่สมรรถนะขั้นสูงสุดไปจนถึงการขับขี่เงียบสงบด้วยพลังงานไฟฟ้า

ผลจากการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์รุ่น V8 และพลังงานไฟฟ้า Continental GT โฉมใหม่จึงสามารถส่งมอบพละกำลังและแรงบิดที่ได้รับการพัฒนาตลอดทุกช่วงรอบ ซึ่งรวมถึงการเสริมพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการเร่งความเร็วที่มีเสถียรภาพตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำและตลอดช่วงกลาง พร้อมด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ที่ย่านความเร็วที่สูงขึ้น

สำหรับการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า โหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เงียบสงบและต่อเนื่อง โดยในโหมดไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตพละกำลังได้ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยการพัฒนาขั้นสูงของเครื่องชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์


แชสซีที่มีประสิทธิภาพสูง
New Continental GT Speed และ New Continental GTC Speed รุ่นใหม่มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการขับขี่จาก Bentley Performance Active Chassis แชสซีใหม่ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการโคลงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ หรือ Bentley Dynamic Ride และซอฟต์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังได้รับการติดตั้งระบบแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่และถุงลมคู่ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ที่ผสมผสานสมรรถนะ ประสิทธิภาพในการควบคุม และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประทับใจ

ความสามารถด้านไดนามิกโดยรวมและประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์ของรถแบบ 50:50 ซึ่งเป็นผลมาจากการวางตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ไฮบริด การกระจายน้ำหนักทำให้รถมีความสมดุลระหว่างการขับขี่แบบไดนามิก และช่วยให้สามารถเข้าถึงรูปแบบการขับขี่ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และด้วยระบบ ESC ขั้นสูงที่ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ New Continental GT Speed สามารถควบคุมการยึดเกาะถนนเพื่อยับยั้งการโอเวอร์สเตียร์ นอกจากนี้ ระบบ ESC ยังสามารถปิดได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถปรับท่าทางในการเข้าโค้งของตัวรถให้สมดุลเพื่อให้ได้ประสบการณ์การขับขี่ที่ไดนามิกที่สุด

สำหรับระบบแชสซีใหม่จะทำให้การใช้โหมดความสะดวกสบายนั้นสะดวกสบายยิ่งขึ้น และโหมดสปอร์ตก็สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การออกแบบที่เน้นเส้นสายแห่งพลังและความร่วมสมัย
New Continental GT Speed ใหม่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เส้นสายการออกแบบหลัก 3 เส้นสายตั้งแต่การออกแบบรุ่น R-Type Continental ในปี 2495

New Continental GT Speed เจเนอเรชันที่ 4 ดำเนินรอยตามดีเอ็นเอการออกแบบอัครยนตรกรรมแบบ 2 ประตูยุคใหม่ด้วยแรงบรรดาลใจจากท่าทางของสัตว์ดุร้ายที่กำลังพักผ่อน เส้นสายของกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลาย ความมั่นใจ ความเข้มแข็ง และทรวดทรงของบั้นท้ายที่แข็งแกร่งและความชัดเจนที่บ่งบอกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยภาพที่นักออกแบบของเบนท์ลีย์นึกถึง คือ เสือหมอบที่สงบนิ่งและสุขุม แต่พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังอันเหลือเชื่อได้ทุกเวลาเมื่อออกล่า

ด้านหน้าของตัวรถได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามของม้า ซึ่งตอกย้ำความเป็นสุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์สุดหรูรุ่นนี้ พร้อมกับฝากระโปรงหน้าแบบทอดยาวตลอดแนวหลังคาที่จะสร้างเส้นแนวนอนที่แข็งแกร่งผ่านตัวรถ บ่งบอกถึงเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงและความเร็วที่แท้จริง

ตัวรถทั้งคันได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างหมดจด ด้วยรอยต่อบนพื้นผิวที่น้อยลง ทำให้เผยให้เห็นถึงทรวดทรงและรูปร่างที่ประณีตยิ่งขึ้น ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ ตั้งแต่ชุดแต่งตัวถังไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับรุ่น Continental GT นั้นก็คือการตกแต่งด้วยไฟหน้าแบบเดี่ยว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รูปลักษณ์ของ Continental GT ใหม่มีการแสดงออกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากการแสดงออกที่ชัดเจนของเสือนักล่า

New Continental GT มาพร้อมกับไฟหน้าในลักษณะ ‘คิ้ว’ แนวนอนใหม่ พร้อมด้วยเอฟเฟกต์เพชรเจียระไนด้านบนกรอบไฟ และหลอดไฟสำหรับการส่องสว่างด้านล่างที่ไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์ประกอบไปด้วยไฟ LED แยกกันจำนวนกว่า 120 ดวงที่ได้รับการควบคุมแบบดิจิทัลสำหรับไฟต่ำไปจนถึงการเพิ่มกำลังไฟสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟโดยที่ลำแสงหลักจะขยายขอบเขตการส่องสว่างให้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีการหรี่แสงที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การเปลี่ยนจากบริเวณที่มีแสงสว่างไปยังบริเวณที่ไม่มีแสงสว่างค่อยเป็นค่อยไป การมองถนนเบื้องหน้าจึงมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลายโดยปราศจาก “หลุมดำ” ในขอบเขตของการมองเห็น

ด้านท้ายตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้าย ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิกเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ในขณะที่ตัวรถยังดูสะอาดตาและมีการตกแต่งที่น้อยลง

ไฟท้ายมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่น่าทึ่งด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง ขอบไฟยื่นออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ พร้อมกับภายในที่ตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง โดยเมื่อส่องสว่าง ส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว

ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วใหม่มีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแรงบันดาลใจจากเสือ โดยมี ‘กรงเล็บ’ ของล้ออัลลอยด์ที่จะสัมผัสไปตามพื้นถนน รูปแบบล้ออัลลอยด์แบบใหม่มีให้เลือกทั้งในโทนเฉดสีเข้มแบบมัน-เงา เฉดสีดำเงา หรือเฉดสีเงิน


บรรทัดฐานใหม่ของการออกแบบภายในห้องโดยสาร
อัครยนตรกรรมในตระกูล Continental GT มีการตกแต่งภายในที่สวยงามที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสุดยอดหัตถศิลป์จากทีมช่างฝีมือมากทักษะ ณ โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ

ภายในห้องโดยสารของแกรนด์ ทัวเรอร์ โฉมใหม่ตกแต่งด้วยลวดลายการควิลท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นแบบร่วมสมัยบริเวณเบาะโดยสารและประตูห้องโดยสาร และด้วยการแกะสลักงานควิลท์ การปรุสีซีด และการปักควิลท์แบบใหม่ บรรยากาศภายห้องโดยสารจึงเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของรังไหมให้ทุกการเดินทางพิเศษกว่าที่เคย

สำหรับเบาะโดยสารแบบปรับได้ 20 ทิศทางใน Continental GT โฉมใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มยนตรกรรมหรูมาอย่างยาวนานในด้านความสะดวกสบายและความประณีต ซึ่งเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพที่มาพร้อมกับระบบปรับท่าทางและระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติสำหรับเบาะโดยสารคู่หน้านี้จะช่วยลดความเมื่อยล้าและมอบความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง

อีกทั้ง การตกแต่งแบบ Dark Chrome จะมอบความสวยงามที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น และทำให้ห้องโดยสารดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตกแต่งในบริเวณมือจับประตู สวิตช์ หน้ากากของลำโพง และพื้นที่บริเวณโดยรอบห้องโดยสาร ซึ่งแผนก Mulliner แผนกออกแบบพิเศษของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สสามารถรังสรรค์คุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยให้อัครยนตรกรรมรุ่นล่าสุดมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นได้

ระบบเสียงใน Continental GT โฉมใหม่ มีให้เลือก 3 แบบด้วยกันกับระบบเสียงมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 10 ตัว ขนาด 650 วัตต์ และระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 16 ตัว ขนาด 1,500 วัตต์ ตกแต่งด้วยหน้ากากลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแนวไลฟ์สไตล์ และปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก Naim ขนาด 2,200 วัตต์ พร้อมด้วยลำโพงจำนวน 18 ตัว และเครื่องแปลงความถี่เสียง Active Bass Transducers ที่ติดตั้งอยู่ภายในเบาะโดยสารคู่หน้าและโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กระจกกันเสียงแบบลามิเนตยังติดตั้งสำหรับกระจกบังลมและหน้าต่างด้านข้างเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งสามารถลดลงได้ 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระจกแบบธรรมดา

Continental GT ใหม่ ยังคงนำเสนอนวัตกรรมหน้าจอแสดงผลแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล 3 ด้านที่ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนะล็อกสุดคลาสสิก 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ที่งดงาม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว

ระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ยังตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟกต์แบบรังไหม โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี


การรังสรรค์ด้วยเฉดสีที่โดดเด่น
สำหรับการรังสรรค์ New Continental GT ตัวเลือกใหม่สำหรับเฉดสีภายนอกและภายในห้องโดยสารจะถูกเพิ่มเข้าไปในชุดสีเดิมที่หลากหลายอยู่แล้วเพื่อการรังสรรค์อัครยนตรกรรมได้อย่างไร้ข้อจำกัด

เฉดสีที่โดดเด่นรวมถึงหนังเฉดสีเทา Gravity Grey ใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับเฉดสีภายนอกแบบเมทัลลิกสุดลึกล้ำที่ดูแข็งแกร่ง พร้อมเผยให้เห็นเฉดสีทองแดงแบบเมทัลลิกเมื่อกระทบกับแสงแดด

สำหรับ Continental GT โฉมใหม่เปิดตัวในเฉดสีเขียว Tourmaline Green ซึ่งเป็นการตีความสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ที่สดใสและร่วมสมัย ทั้งยังเป็นการเผยความโดดเด่นของเบนท์ลีย์ยุคใหม่

เทคโนโลยีสุดล้ำสมัย
Continental GT และ GTC Speed รุ่นใหม่ได้รับการติดตั้งระบบไฟฟ้าเจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญในด้านเทคโนโลยีความบันเทิงภายในรถยนต์และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ชุดเทคโนโลยีเหล่านี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในกลุ่มยนตรกรรมหรู และมีการแข่งขันสูงในกลุ่มลูกค้าจากแบรนด์ในระดับเดียวกันที่หันมาสนใจในแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์

การแสดงสภาพแวดล้อมบนแผงหน้าปัดสำหรับคนขับสามารถรองรับและเปิดใช้งานการขับขี่ในโหมดกึ่งช่วยเหลือ โดยระบบจะให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้ขับขี่ว่าควรจะตอบสนองต่อรถคันอื่นอย่างไร การรับรู้ของตัวรถเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจะช่วยเสริมกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบจอดรถด้วยตนเองรุ่นล่าสุดพร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็ว อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในด้านการขับขี่เท่านั้น แต่ระบบปรับอากาศยังได้รับการพัฒนาเพื่อคุณภาพของอากาศภายในห้องโดยสารด้วยเครื่องฟอกอากาศ ตัวกรองอนุภาคแบบใหม่ และจอแสดงผลที่แสดงคุณภาพอากาศทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร โดยคุณสมบัติด้านความสะดวกสบายเหล่านี้จะทำให้ทุกการเดินทางได้รับประสบการณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น และสามารถปรับแต่งให้สะท้อนถึงความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ นอกจากนี้ ระบบของตัวรถยังเชื่อมต่อกับการนำทางด้วยดาวเทียม โดยสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่จำเป็นต้องปรับคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสารด้วยการหมุนเวียนอากาศ

New Continental GT Speed ได้รับการพัฒนาคุณสมบัติที่สำคัญ อาทิ Apple CarPlay, Android Auto และการอัปเดตแผนที่แบบ Over-the-air นอกเหนือจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ผู้ขับขี่จะยังได้เพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่ออื่น อาทิ

• การเช็คสถานะการชาร์จระยะไกลที่จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมการชาร์จรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย
• ระบบช่วยจอดระยะไกลที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจอดรถหรือเรียกรถจากระยะไกลผ่านโทรศัพท์ได้
• การปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารล่วงหน้าจากระยะไกลเพื่อให้มั่นใจว่าสภาพอากาศภายในห้องโดยสารพร้อมสำหรับการออกเดินทาง

ในแต่ละปี เบนท์ลีย์ มอเตอร์สมาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่อย่างเช่น ระบบปรับความเร็วให้พอดีกับสัญญาณไฟหรือเทคโนโลยีที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้ขับขี่ผ่านไฟเขียวไปตลอดเส้นทาง

Continental GT รุ่นที่ 4 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัว My Bentley App Studio ใหม่ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ของรถยนต์เบนท์ลีย์และแอปพลิเคชันจากภายนอกที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยตรงผ่าน My Bentley App Studio ที่จะรวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับเพลง วิดีโอ เกม แผนที่นำทาง การจอดรถ และการชาร์จ เป็นต้น โดยแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสารได้อย่างราบรื่น และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในขณะขับรถ ซึ่งรายการแอปพลิเคชันจะได้รับการปรับให้เหมาะสมตามแต่ละภูมิภาคโดยเฉพาะ

The Continental GTC Speed
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอัครยนตรกรรมตระกูล Continental ที่รุ่น GTC แบบเปิดประทุนจะเปิดตัวพร้อมกับรุ่น GT แบบคูเป้ สำหรับ New Continental GTC มีตัวเลือกสำหรับเฉดสีภายนอกของหลังคาผ้าใบถึง 7 เฉดสีที่รวมถึงผ้าทวีด โดยสามารถเปิดประทุนได้ภายในระยะเวลา 19 วินาทีในขณะที่รถยนต์วิ่งด้วยความเร็งสูงสุด 48 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง


สมรรถนะของ Continental GTC Speed ถือว่าน่าทึ่งสำหรับยนตรกรรมแบบแกรนด์ ทัวเรอร์แบบเปิดประทุนด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาที โดยความเร็วสูงสุดจะถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่ 285 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง


บทสรุป
New Continental GT Speed ถือเป็นอัครยนตรกรรมที่จะกำหนดนิยามใหม่ของแกรนด์ทัวเรอร์ที่สมบูรณ์แบบด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัย โดดเด่น ทรงพลัง และเส้นสายที่สง่างาม อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ เจเนอเรชันที่ 4 จึงอยู่เหนือทุกคู่แข่งในแง่ของเทคโนโลยีความสะดวกสบายในการขับขี่ งานฝีมือที่วิจิตรงดงาม และการรังสรรค์ในแบบเฉพาะตัว

สำหรับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่อันน่าทึ่งจะมอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะขั้นสุดยอดและประสิทธิภาพจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น พร้อมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินในทุกเส้นทาง

ผู้สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V


เกี่ยวกับ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคันด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 37 ปี พร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือตรวจสอบและวิเคราะห์สำหรับรถยนต์เบนท์ลีย์โดยเฉพาะนำเข้าจากโรงงาน การรับประกันอะไหล่แท้ และบุคลากรที่ผ่านการอบรมอย่างเข้มข้น โดยมี Qualified High Voltage Technician หนึ่งเดียวในประเทศไทยเป็นผู้รับรองงานซ่อมและงานบำรุงรักษารถยนต์ไฮบริดตามมาตรฐานโรงงาน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking After YOU And Your CAR)” และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name You Can Trust”

Picture of AAS Bentley Marketing

AAS Bentley Marketing

Sent Successfully!

Thank you.

We will contact you shortly!