(ครูว์ 22 กุมภาพันธ์ 2566) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประกาศเตรียมยุติสายการผลิตเครื่องยนต์เบนซินขนาด 12 สูบ รุ่น W12 ในเดือนเมษายน 2567 โดยกว่าทั้งหมด 100,000 ขุมพลังในตำนานตั้งแต่เริ่มต้นสายการผลิตจะสิ้นสุดลง ณ โรงงานเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ พร้อมเดินหน้าเต็มสูบสู่การเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
การตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนบนเส้นทางของกลยุทธ์ Beyond100 เพื่อการเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบภายในช่วงต้นทศวรรษหน้าด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยลงเหลือ 0 กรัม ต่อ กิโลเมตร โดยเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวรุ่น Bentayga Hybrid และ Flying Spur Hybrid ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่เกินคาด และเมื่อเครื่องยนต์รุ่น W12 ยุติการผลิตในปีหน้า อัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์รุ่น V6 แบบไฮบริด
โดย เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ก็ได้สร้างตำนานปิดฉากขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น W12 ด้วยการผลิตอัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ที่ทรงสมรรถนะที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยการนำขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น W12 ที่ได้รับการพัฒนามาใช้กับอัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ Bentley Batur ซึ่งผลิตโดย Bentley Mulliner เพียง 18 คันในโลกเท่านั้น โดยตัวเครื่องยนต์ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถผลิตพละกำลังได้กว่า 750 แรงม้า และ แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งตัวเลขแรงบิดที่เพิ่มขึ้นได้สร้าง ‘torque plateau’ ตามแบบฉบับของเบนท์ลีย์ที่ทำงานตั้งแต่ 1,750 รอบต่อนาที ถึง 5,000 รอบต่อนาที โดยมีกำลังสูงสุดที่ 5,500 รอบต่อนาที
เครื่องยนต์ W12 รุ่นใหม่ที่ผ่านการพัฒนาและการทดสอบที่เข้มข้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความน่าเชื่อถือและจะถูกติดตั้งกับอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ที่ทรงสมรรถนะที่สุด ซึ่ง ณ ตอนนี้ได้ถูกจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเพียงแค่เครื่องยนต์ W12 รุ่นเดิมกับขุมพลัง 659 แรงม้า ในรุ่น Continental GT Speed, Bentayga และ Flying Spur รวมไปถึง Continental GT Mulliner และ Flying Spur Mulliner
สำหรับช่างผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 ชีวิตในฝ่ายผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 เบนท์ลีย์ มอเตอร์สจะจัดการฝึกอบรมใหม่และโยกย้ายสู่หน่วยงานที่เหมาะสมในโรงงานเมืองครูว์ ส่วนพื้นที่การผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 จะถูกใช้เป็นสายการผลิตเครื่องยนต์สำหรับรุ่น Plug-in Hybrid แทน
นับตั้งแต่เปิดตัวเครื่องยนต์รุ่น W12 ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบครั้งแรกในปี 2546 ทีมวิศวกร ณ โรงงานเมืองครูว์ได้พัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านพละกำลัง แรงบิด การปล่อยไอเสีย และ การปรับแต่ง โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เครื่องยนต์รุ่น W12 ได้ผลิตพละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 37% และ มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 54% ในขณะที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 25% ซึ่งเป็นผลจากการวิวัฒนาการและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบควบคุม การพัฒนาการออกแบบระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและการระบายความร้อน เทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีดและการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการเปิดตัว Bentayga ในปี 2558 เครื่องยนต์รุ่น W12 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และยังเป็นรุ่นของเครื่องยนต์ที่ยังคงอยู่ในสายการผลิต ณ ปัจจุบัน โดยมีการติดตั้งระบบการปิดการทำงานของกระบอกสูบ ระบบไดเรคท์และพอร์ตอินเจคชั่น และระบบเทอร์โบคู่
สำหรับการผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 แต่ละเครื่องนั้น ตัวเครื่องยนต์ถูกผลิตขึ้นด้วยมือโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญด้วยระยะเวลากว่า 6.5 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการทำการทดสอบที่ซับซ้อนกว่า 1 ชั่วโมงผ่านเครื่องวิเคราะห์เฉพาะทาง 3 เครื่อง โดยทุกสัปดาห์ เครื่องยนต์หนึ่งตัวจะถูกทดสอบการทำงานแบบเกินรอบการทดสอบ จากนั้นจะมีการแยกชิ้นส่วนออกทั้งหมดเพื่อการตรวจสอบ
ส่วนงานผลิตเครื่องยนต์จะมีการส่งมอบเครื่องยนต์รุ่น W12 จำนวนมากกว่า 105,000 เครื่องก่อนการครบรอบ 20 ปีในปีนี้
อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้กับสุดยอดขุมพลังเครื่องยนต์ W12
สำหรับรุ่นสุดท้ายของเครื่องยนต์ W12 ทีมวิศวกรจาก Bentley Mulliner ได้ทำการพัฒนาระบบไอดี ไอเสีย และ ระบบระบายความร้อนเพื่อพละกำลังและแรงบิดที่มากขึ้น โดยภายใต้การควบคุมของ Paul Williams ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคจาก Bentley Mulliner ผู้พัฒนาเครื่องยนต์รุ่น W12 เจนเนอเรชันที่ 2 ทำให้เครื่องยนต์รุ่น W12 ใหม่ ได้รับการยืนยันการผลิตพละกำลังกว่า 750 แรงม้า และ แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งตัวเลขทั้ง 2 ตัวถือเป็นตัวเลขที่ทำลายสถิติด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ของเบนท์ลีย์
นอกจากนี้ คอมเพรสเซอร์เทอร์โบชาร์จเจอร์ยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และท่ออากาศให้มีขนาดใหญ่ขึ้น 33% เพื่อผลิตพละกำลังสูงสุด โดยที่เครื่องยนต์รุ่นใหม่จะสามารถดูดอากาศเข้าไปมากกว่าหนึ่งตัน หรือ 1,050 กิโลกรัม ต่อ ชั่วโมง ผนวกกับเครื่องทำความเย็นแบบอัดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีความลึกเพิ่มขึ้น 10 มิลลิเมตร ระบายความร้อนได้มากขึ้น 35% จากอากาศเข้าที่มีแรงดัน ช่วยลดอุณหภูมิได้ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงประจุไฟฟ้าที่หนาแน่นขึ้นเพื่อพลังงานที่มากขึ้น
วิวัฒนาการแห่งขุมพลัง
ขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น W12 ความจุ 6.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ระดับตำนานของเบนท์ลีย์ ผลิตขึ้นในปี 2545 ได้รับการพัฒนาเป็นเครื่องยนต์ W12 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้ในอัครยนตรกรรมรุ่นปัจจุบัน โดยการกำหนดชื่อด้วยตัวอักษร W หมายถึงขนาดของเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องยนต์รุ่น V12 ถึง 24% ทำให้ประหยัดพื้นที่ในช่องเก็บเครื่องยนต์และเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร
เครื่องยนต์รุ่น W12 เจนเนอเรชันล่าสุดเปิดตัวพร้อมกับ Bentayga ในปี 2558 โดยเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมดรวมถึงห้องข้อเหวี่ยงที่แข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนถึง 30% ในขณะที่พื้นผิวของกระบอกสูบได้รับการเคลือบเพื่อลดแรงเสียดทานและเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
เกี่ยวกับ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคัน ด้วยทีมวิศวกรที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูงนานกว่า 36 ปี โดย เอเอเอสฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดส่งวิศวกรไปฝึกอบรมที่โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประเทศอังกฤษ ทุกปี ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking After YOU And Your CAR)” และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name You Can Trust” มานานกว่า 36 ปี